New York : จาก Big Apple ถึง Apple store
มหานครนิวยอร์ก (New York City) ที่เราเคยเห็นภาพตึกสูงเสียดฟ้าเรียงรายกันแน่นขนัดนั้น ความจริงเป็นเพียงเกาะเล็กๆที่ชื่อว่า แมนฮัตตัน (Manhattan) ซึ่งตั้งอยู่ที่ขอบด้านหนึ่งของรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เท่านั้นเอง แต่ด้วยความที่เกาะที่ว่านี้ตั้งอยู่ปากแม่น้ำฮัดสัน อันเป็นทางที่ใครจะผ่านไปผ่านมาทางเรือ (ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งหลักตั้งแต่ครั้งอดีต) ต้องผ่านต้องแวะ หรือถูกตั้งด่านตรวจกันในแถบนี้ ทำให้บริเวณรอบๆแถบนี้กลายเป็นเมืองท่าและชุมชนขนาดใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนฉายาหรือชื่อเล่นของเมืองนิวยอร์กเรียกกันอีกอย่างว่าเป็นเมือง “Big Apple”
เมื่อ คนมากขึ้น เนื้อที่ก็จำกัดเพราะเป็นเกาะ ก็เลยมีการสร้างตึกสูงๆ เป็นย่านธุรกิจการค้า กลายเป็นดงตึกระฟ้าที่เบียดกันแน่นจากย่านกลางของเกาะลงไปถึงตอนใต้ ผู้คนที่มีทุนทรัพย์หน่อยก็จะยังอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์หรูหราราคาแพงบนตึก สูงย่านกลางเมืองได้ ส่วนใครที่ไม่อยากจ่ายแพงหรือไม่อยากอยู่ท่ามกลางความแออัด (แต่ที่ฝรั่งว่าแน่นน่ะ ยังไงก็ยังไม่เท่ากรุงเทพของเราอยู่ดี) ก็จะขยับขยายออกไปอยู่บริเวณแผ่นดินใหญ่โดยรอบเกาะ ทั้งฝั่งรัฐนิวเจอร์ซีย์ที่อยู่ทางตะวันตก พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐนิวยอร์กที่อยู่ทางเหนือ หรือเกาะลองไอแลนด์ที่อยู่ทางตะวันออก ใครจะเข้ามาทำงานในเมืองก็อาศัยระบบขนส่งมวลชนอันรวดเร็ว (เสียแต่ไม่สะอาดเท่าบ้านเราอีกน่ะแหละ) จากชานเมืองเข้ามา ได้แก่รถไฟใต้ดินที่มีมานานหลายสิบหรือเกือบร้อยปีซึ่งขยายไปทางตะวันออกจน ถึงสนามบินนานาชาติ JFK และรถ PATH ที่สร้างใหม่เริ่มจากต้นทางบริเวณซากของ World Trade Center ลอดใต้ทะเลไปยังฝั่งนิวเจอร์ซีย์
ผมได้มีโอกาสมาเยือนนิวยอร์ก ช่วงสั้นๆ เพียง 2-3 วันด้วยเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพ (ซึ่งเป็นสัปดาห์สุดท้ายที่การบินไทยเปิดให้บริการ) ใช้เวลากว่า 17 ชั่วโมงจากสนามบินสุวรรณภูมิ ตรงขึ้นไปทางเหนือ ผ่านจีน ไซบีเรีย (รัสเซีย) เฉียดขั้วโลกเหนือแล้ววกลงมาทางแคนาดา จนถึงสนามบิน John F. Kennedy รวมเวลากว่า 17 ชั่วโมง จากนั้นลากกระเป๋าขึ้นรถใต้ดินแบบทุลักทุเล 2-3 ทอดไปถึงโรงแรมในอีกชั่วโมงเศษๆ ถัดมา รถใต้ดินที่นี่ขึ้นยาก เข้าใจยากกว่าหลายๆเมืองในโลก เช่นมีทั้งรถธรรมดาที่จอดทุกสถานี รถด่วนที่จอดเฉพาะสถานีหลัก แต่วิ่งในเส้นทางเดียวกัน (ต้องดูป้ายดีๆ)
มาถึงนิวยอร์กแล้วก็ต้องไปขึ้นตึก เอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) ตึก สูงที่สุดในนิวยอร์กที่ได้ตำแหน่งคืนมาหลัง World Trade Center ถูกทำลายลงในเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 แต่ตัวตึกเองซึ่งสร้างและตกแต่งในสไตล์ Art Deco ตั้งแต่ยุค 1930 ก็กำลังอยู่ระหว่างการ renovate ใหม่หมด ทำให้สภาพภายในไม่ค่อยน่าดูนัก
จากยอดตึก Empire State ยามค่ำจะเห็น New York skyline เต็มไปด้วยหมู่ตึกสูงบนเกาะแมนฮัตตัน ดังรูป ส่วนอาคารที่นิยมขึ้นไปชมวิวอีกแห่งแต่สูงรองลงไปหลายอันดับคือตึก Rockefeller หรือThe Rock
ตึกสูงที่เป็นอันดับสองและจัดว่าเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมที่สวยงาม อีกแห่งคือตึกไครสเลอร์ ที่เป็นสไตล์ Art Deco เช่นกัน
อีกแห่งที่มาถึงนิวยอร์กแล้วพลาดไม่ได้คือเทพีเสรีภาพ หรือ Statue of Liberty ซึ่งอยู่บนเกาะเล็กๆของเธอโดยเฉพาะ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะแมนฮัตตันลงมาเล็กน้อย นั่งเรือจากท่าในสวน Battery Park ใต้สุดของเกาะราวสิบห้านาทีเท่านั้น แต่ที่ใช้เวลานานจริงๆคือตรวจค้นผู้โดยสารและสัมภาระที่จะขึ้นเรือเพื่อ ป้องกันการก่อการร้าย แถมที่เคยเปิดให้ขึ้นไปดูข้างในรูปปั้นเทพีเสรีภาพได้จนถึงส่วนหัวและมงกุฎ ก็ต้องจองตั๋วล่วงหน้าและตรวจเข้มอีกชั้นหนึ่ง ส่วนขากลับเรือจะแวะที่ Ellis Island ซึ่งเคยเป็นที่กักกันและตรวจคนอพยพเข้าเมือง ปัจจุบันปรับเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเหตุการณ์เหล่านั้นแทน
ทางใต้ของเกาะแมนฮัตตันเป็นย่านการเงิน ที่ตั้งของตลาดหุ้นนิวยอร์ค (New York Stock Exchange – NYSE) ซึ่งเป็นอาคารหลังใหญ่แต่หลบมุมอยู่ในถนนสายแคบๆที่มีชื่อเสียงคุ้นหูกันดีคือ Wall Street เดินมาอีกหน่อยก็จะถึงจุดซึ่งเคยเป็นที่ตั้ง World Trade Center ซึ่งเรียกกันว่า Ground Zero และกำลังสร้างอาคารใหม่ที่ไม่สูงเสียดฟ้าอย่างเดิมขึ้นทดแทน แต่สร้างมาหลายปีแล้วก็ยังไม่เห็นอะไรโผล่พ้นพื้นดินขึ้นมาซักที (คนขับแท็กซี่เขาบ่นให้ฟังว่าอย่างนั้น)
จุดสุดท้ายที่มานิวยอร์กแล้วต้องไม่พลาดคือไปเดินเล่นในเซ็นทรัลปาร์ค (Central Park) สวน สาธารณะขนาดยักษ์ ใหญ่กว่าสวนจตุจักรหรือสวนลุมพินีเป็นสิบเท่า และยาวเกือบหนึ่งในสี่ของเกาะแมนฮัตตัน อพาร์ทเมนท์ของคนรวยๆมักจะหันหน้าต่างออกมาชมสวนนี้ ในหน้าร้อนจะมีสวนสนุกด้วย
รอบๆสวนทั้งสองฝั่งก็เป็นย่านพิพิธภัณฑ์ ทั้งศิลปะร่วมสมัยอย่าง Metropolitan Museum of Art (MetMuseum), Museum of Modern Art (MoMA), Guggenheim (กุ๊กเกนไฮม์) Museum ที่มีสาขาหลายแห่งในโลก และทุกแห่งขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมที่เป็นตึกรูปทรงประหลาดพอๆกับการแสดงที่อยู่ข้างใน
และยังมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (Museum of Natural History) ที่จัดแสดงความรู้หลายแขนง (ที่เห็นกันในเรื่อง Night at the Museum ทั้งสองภาคนั่นแหละครับ) แต่ที่สะดุดตาก็คือห้องทรงกลมที่เป็นท้องฟ้าจำลองขนาดใหญ่
และถ้าเดินลงมาทางใต้จนสุดสวนก็จะถึงหัวถนนสายที่ห้าหรือฟิฟธ์ อเวนิว (Fifth Avenue) ย่านช็อปปิ้งแหล่งรวมร้านค้าดัง แต่ที่สะดุดตาก็คือร้านหลักหรือ Flagship store ของบริษัท Apple ที่อยู่ตรงเกือบสุดถนนต่อกับ เซ็นทรัลปาร์ค ซึ่งทำทางเข้าเป็นอาคารกระจกล้วนขนาดเล็กที่ลงได้ทั้งทางบันไดเวียนหรือ ลิฟต์แก้ว ส่วนร้านจริงลงไปอยู่ใต้สระน้ำที่อยู่รอบอาคารกระจกนี้อีกทีนึง จัดว่าดูอลังการไม่เหมือนใคร สมกับเป็นร้านหลักของ Apple ในเมือง Big Apple จริงๆ (ย่านอื่นๆของเมืองยังมีอีกหลายสาขา)
ใครมีโอกาสผ่านมาเยือนนิวยอร์กแล้วลองแวะเวียนมาดูสถานที่ต่างๆตามนี้ให้ครบนะครับ
* พิมพ์ครั้งแรกในวารสาร D+Plus ปีที่ 12 ฉบับที่ 63 ตุลาคม 2551