นั่งยูโรสตาร์ เปิดฟ้าบรัสเซลส์

ตุลาคม 2007 : สถานีรถไฟวอเตอร์ลู ลอนดอน ชานชาลาสำหรับรถด่วนยูโรสตาร์? หลังจากแบกเป้ขึ้นหลัง และลากกระเป๋าเดินทางใบเขื่องที่หนักกว่า 20 กิโลถูลู่ถูกังจากโรงแรมออกมาตามทางเท้า ข้ามถนน ลงบันไดธรรมดา ลากต่อ ลงบันไดเลื่อน ขึ้นรถไฟใต้ดิน (คนที่นี่เขาชอบเรียก Tube คือรถไฟตามท่อ) ผมก็มาถึงสถานี Waterloo ทางฝั่งใต้ของแม่น้ำเทมส์ ต้นทางรถด่วน Eurostar ก่อนเวลาเป็นชั่วโมง ก็ค่าแท็กซี่ที่นี่มันแพงนะครับ ตอนนั้นเงินอังกฤษตกปอนด์ละ 70 บาท ขืนขึ้นแท็กซี่มาขึ้นรถไฟ ค่าแท็กซี่คงแพงกว่าค่ารถไฟไปเป็นพันบาท ใครๆที่นี่เขาก็ขึ้นรถ tube กันทั้งนั้นแหละ

ผมกำลังอยู่ระหว่างทางจากลอนดอนไปแฟรงเฟิร์ต เยอรมันนี แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยอยากจะบิน เพราะบินแป๊บเดียวแต่ตรวจกระเป๋าค้นของต่อคิวเป็นชั่วโมง เลยขอลองเปลี่ยนบรรยากาศนั่งรถไฟลอดอุโมงค์ EuroTunnel ลอดช่องแคบอังกฤษไปขึ้นที่ฝั่งยุโรปของฝรั่งเศสดูบ้าง แต่เนื่องจากเคยไปปารีสมาบ้างแล้ว จุดแวะระหว่างทางในคราวนี้ที่ไปๆได้ด้วยรถยูโรสตาร์ก็เหลือเพียงกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียมเท่านั้น วันนี้ก็เลยขอไปนอนเล่นชานกรุงบรัสเซลส์ซักสองคืน ก่อนจะจับรถด่วน Thalys เข้าเยอรมันต่อไป
ค่าตั๋วรถไฟก็แพงพอๆกับค่าเครื่องบินนั่นแหละครับ แต่เดินสนุกลุกนั่งสบายกว่ากันเยอะ หิวก็เดินไปซื้อของกินที่ตู้เสบียงเอา แต่ก่อนจะขึ้นรถได้ก็ต้องเช็คอินและ x-ray กระเป๋าคล้ายๆกับขึ้นเครื่องบินเลย เอ รถไฟที่ในเยอรมันไม่เห็นเข้มงวดอย่างนี้นี่นา หรือว่ารถนี่ลอดอุโมงค์ใต้ทะเล เลยเข้มงวดหน่อย หรือเป็นเพราะอังกฤษเป็นศัตรูกับผู้ก่อการร้ายอย่างออกนอกหน้ากว่าชาติยุโรปอื่นๆ หรือเพราะ อะไรก็ช่างเหอะ เข้มงวดไว้ก่อนก็ดี เพราะรถไฟของสเปนก็เคยโดนมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน
ผมเข้ามานั่งรอสักพัก โห ทำไมสถานีนี้มันออกโทรมนิดๆ ไม่เห็นดีเลย น่าจะปรับปรุงได้แล้ว ว่าไปนั่น (สักพักเดี๋ยวจะเข้าใจว่าทำไม) นั่งรอรถไฟอยู่ชั่วโมงกว่า รถด่วนที่นี่ออกทุกชั่วโมงสลับกัน ชั่วโมงหนึ่งไปปารีส ชั่วโมงถัดไปไปบรัสเซลส์ ใช้เวลานั่งรถราวสองชั่วโมงนิดๆ พอถึงเวลาขึ้นรถปุ๊บ โห ดูใหม่ ทันสมัยกว่าสถานีเยอะเลย รถวิ่งเรื่อยๆด้วยความเร็วที่ดูเหมือนจะไม่มากกว่ารถไฟเมืองไทยเท่าไหร่นักไปยังปากอุโมงค์ฝั่งอังกฤษใกล้เมืองโดเวอร์ ใช้เวลาราว 50 นาทีหรือเกือบครึ่งของเวลาทั้งหมด ทั้งๆที่ระยะทางบนฝั่งอังกฤษจากลอนดอนไปอุโมงค์นั้นไม่ยาวนัก สักพักก็ตกค่ำ พอดีเข้าอุโมงค์อยู่ไม่นานก็ขึ้นฝั่งทางฝรั่งเศส พอออกมาเท่านั้นแหละรถไฟวิ่งยังกับติดจรวด ด้วยมาตรฐานความเร็วระดับเดียวกับรถไฟภาคพื้นทวีปยุโรปทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นรถ ICE (InterCity Express) ของเยอรมัน รถ Thalys ของเบลเยี่ยม และเจ้าของสถิติโลกที่เร็วกว่ารถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่นก็คือรถ TGV ของฝรั่งเศส เลยไปนั่งอ่านโบรชัวร์ที่เสียบทุกที่นั่งไว้ ก็ถึงบางอ้อว่าที่สถานีมันโทรมและรถวิ่งช้าก็เพราะเดือนหน้า (พฤศจิกายน 2007) รถด่วนยูโรสตาร์จะย้ายต้นทางใหม่ไปออกจากสถานี St. Pancras (ผมเดาคำอ่านว่า เซนต์แพนคราส ไม่รู้ถูกปล่าว) เป็นสถานีสร้างใหม่ (ดัดแปลงอาคารเก่ามาทำ) ติดกับสถานีรถไฟคิงครอส (Kings Cross) ซึ่งอยู่คนละทิศเลย คืออยู่ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำเทมส์ และที่สำคัญคือไม่วิ่งเส้นทางเดิม แต่จะใช้รางเส้นใหม่เอี่ยม High Speed 1 หรือ H1 สำหรับรถไฟความเร็วสูงโดยเฉพาะเส้นแรกของอังกฤษไปยังปากอุโมงค์ ทำให้ลดเวลาลงได้ราว 25 นาที คือจากเดิม 50 เหลือแค่ 25 นาที (คำนวณต่อตามประสาคนชอบคิดก็แสดงว่าใช้ความเร็วสูงกว่าเดิมประมาณ 50/25 = 2 เท่า ถ้าเดิมวิ่งที่ 100 กม./ชม. ก็เพิ่มเป็น 200 กม./ชม.) แสดงว่าที่แท้รางรถไฟในอังกฤษเพิ่งจะพัฒนาให้เทียบเท่ากับทางทวีปยุโรปนี่เอง รถน่ะวิ่งเร็วได้แต่รางไม่อำนวย
เลยสองชั่วโมงไปครู่ใหญ่รถก็มาถึงปลายทางที่สถานีด้านใต้หรือ South Station (Gare du Midi) ของบรัสเซลส์ ที่นี่เขาใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักครับ ถ้าจำไม่ผิดราว 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ ที่เหลือพูดภาษาดัทช์ (เนเธอร์แลนด์หรือฮอลแลนด์นั่นเอง) ป้ายต่างๆก็เลยต้องมีสองภาษาไปด้วย เฮ้อ ดูแล้วเหนื่อย เพราะทุกอย่างมีสองบรรทัดหมด แต่เราอ่านไม่ออกซักกะภาษา ไอ้ภาษาฝรั่งเศสที่เคยไปนั่งเรียนมาแค่หางอึ่งสมัยมัธยมก็คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว (เหลือแต่ประโยคอย่าง Je t’aime แหะๆ) โชคดีที่โรงแรมที่พักไม่ต้องเดินไกล อยู่ตรงข้ามสถานีนั่นเอง วันนี้นอนเอาแรงไปลุยพรุ่งนี้กัน
เช้าวันรุ่งขึ้นฟ้าครึ้ม มีละอองฝนพรำๆ บางช่วง แต่ก็พอจะเดินดูอะไรได้บ้าง หลังจากงงกับระบบตู้ขายตั๋วอยู่ซักพัก ผมก็ซื้อตั๋วรถไฟระยะสั้นแบบทั้งวันสำเร็จจนได้ (ง่ายดีคือซื้อหนเดียว แต่ไม่รู้จะใช้คุ้มมั้ย) แล้วนั่งรถไฟจากสถานีทิศใต้เข้าสถานี Central ที่อยู่กลางเมือง เพื่อไปจับรถบัสแบบ hop-on hop-off ที่มีป้ายจอดรับตรงข้างสถานีดังกล่าว นั่งรถดูรอบๆเมืองแบบตามใจฉัน คือรถจะจอดเป็นจุดๆ ใครมีตั๋วจะขึ้นลงตรงไหนก็ได้ทั้งวันภายใน 24 ชั่วโมงนับจากขึ้นครั้งแรก ก็เป็นบริการที่สะดวกดี เสียดายคันที่ขึ้นชั้นบนดาดฟ้าเต็ม ได้แต่ที่นั่งชั้นล่าง เลยได้ภาพผ่านกระจกเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยงามอย่างใจอยาก แต่ก็ไม่โดนละอองฝน ได้อย่างเสียอย่าง ช่างมัน
บรัสเซลส์เป็นเมืองไม่ใหญ่นัก ประชากรแค่ล้านกว่าคน เป็นเมืองเก่าแก่ และเป็นที่ตั้งศูนย์กลางการบริหารของสหภาพยุโรปหรือ EU (European Union) ทั้งด้วยทำเลที่ตั้งซึ่งเป็นรัฐกันชนอยู่ระหว่างกลางของชาติใหญ่อย่างฝรั่งเศสกับเยอรมัน ทำให้เหมาะที่สุดในการตั้งสำนักงานของ EU รวมถึงองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องเช่นรัฐสภายุโรป หรือ European Parliament ด้วย แต่ก็ด้วยทำเลของเบลเยี่ยมนี่เองที่ทำให้ทั้งประเทศต้องยับเยินจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง เพราะเยอรมันจะบุกฝรั่งเศสก็ต้องผ่านเบลเยี่ยมก่อน แถมยังเป็นแหล่งอุตสาหกรรมเหล็กขึ้นชื่อ ซึ่งเป็นยุทธปัจจัยสำคัญอีกด้วย ผมนั่งรถรวดเดียวตลอดสายเพราะขี้เกียจลงไปถ่ายรูปแล้วรอคันใหม่ ด้วยเกรงว่าเวลาจะไม่พอ รถพาวนผ่านเขตเมืองเก่า พระราชวังของกษัตริย์ อนุสาวรีย์ บริเวณที่ตั้งหน่วยงานของ EU (EU quarter) สวนสาธารณะใจกลางเมือง และเลยไปนอกเมือง ผ่านโบสถ์ และเลยไปถึงสัญลักษณ์สำคัญที่เป็นเสมือน landmark ของบรัสเซลส์ นั่นคือ อะตอมเมี่ยม (Atomium) อาคารรูปทรงประหลาดราวกับหลุดออกมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ก็ไม่ปาน ไม่ยอมลงจากรถ แต่บอกตัวเองว่าพรุ่งนี้เราจะกลับมาเดินถ่ายรูปบริเวณปาร์คที่ตั้งของอะตอมเมี่ยมนี้อีกทีหนึ่ง
ในที่สุดก็ถึงเวลาลงจนได้เพราะรถวนกลับมาถึงที่เดิม ผมเดินเรื่อยๆจากสถานีไปทางตะวันตก ย่านนี้เป็นเมืองเก่า ปิดถนนให้เป็นถนนคนเดิน มีร้านรวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัตตาคารสไตล์ฝรั่งเศสที่มีโต๊ะตั้งริมทางให้คนนั่งกินลมชมวิว ดูคนเดินผ่านไปมาได้ (ขณะเดียวกันก็ถูกคนที่ผ่านไปมาดูและวิพากษ์วิจารณ์ได้เช่นกัน) แดดอ่อนยามบ่ายส่องแสงไม่จัด ไม่หนาวไม่ร้อนกำลังดี เดินจนเมื่อย หิว ในที่สุดก็ขอฝากท้องที่ร้านหนึ่ง ดูอาหารทะเลเข้าท่า แต่ราคาดุเดือดเอาการ อิ่มสบายก็ออกเดินต่อ ในหนังสือคู่มือท่องเที่ยวทุกเล่มบอกไว้คล้ายกันว่า การชมเมืองบรัสเซลส์ให้ทั่วถึง วิธีที่ดีที่สุดคือเดินเท้า เพราะย่านกลางเมืองไม่ใหญ่มากอย่างมหานครลอนดอนหรือปารีส บริเวณที่ผมเดินนั้นอยู่รอบๆศาลาว่าการเมืองหรือ Town Hall (ที่ภาษาฝรั่งเศสเขียนว่า Hotel de Ville นั่นแปลทำนองว่าห้องโถงหรือ Hall ของเมืองนะครับ ไม่ใช่ชื่อโรงแรมแต่อย่างใด) ซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่ดูขลังและขรึม อยู่รวมกับตึกเก่าร่วมสมัยเดียวกันอีกมากมายในละแวกนั้น เดินดูร้านรวงสองข้างทาง บ้างก็เป็นร้านหนังสือ บ้างก็ขายช็อคโกแล็ต (อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นชื่อของเบลเยี่ยม) มีร้านหนึ่งขายเสื้อผ้าแบรนด์ Tintin การ์ตูนดังของเบลเยี่ยม (สมัยหลายสิบปีก่อน หนังสือวีรธรรมฉบับการ์ตูนได้มีการแปลเป็นภาษาไทยไว้หลายตอน บางคนก็อ่านว่า แต๋ง แต๋ง ก็มี ด้วยเหตุที่น่าจะเป็นภาษาฝรั่งเศส เลยไม่รู้ว่าจริงๆออกเสียงยังไง) เดินไปเดินมาก็เห็นรูปปั้นเด็กยืนฉี่หรือ Mannekin Pis อีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำเมืองของบรัสเซลส์ (ถ้ามีเวลาจะค้นที่มาให้ว่าทำไมเจ้าหนูถึงมาทำอุจาดแถวนี้ อิ อิ) อยู่ในมุมเล็กๆ ไม่ได้เด่นโอ่อ่าเหมือนชื่อเสียงที่คนรู้จักกันสักนิด (พอๆกับน้ำพุเทรวี่ที่กรุงโรม ต้นตำรับเพลง สามเหรียญในน้ำพุ หรือ Three coins in the fountain ที่ดังไปทั่วโลกสมัยหลายสิบปีก่อน จนนักท่องเที่ยวพากันไปหันหลังโยนเหรียญให้ได้กลับไปเยือนใหม่นั่นแหละ ของจริงซุกอยู่ในมุมตึกเล็กๆนิดเดียว) เดินไปเดินมาก็เลยไปถึงสถานีรถไฟทิศเหนือ คือ North Station หรือ Gare du Nord แต่ที่นี่เป็นย่านออฟฟิศไฮเทค เลยยกป้ายใหม่เป็น CCN แปลคำย่อได้ว่า Communication Center North อะไรทำนองนั้น คือมีทั้งสื่อสาร เช่น ไปรษณีย์ โทรศัพท์ และคมนาคม คือรถไฟ รถบัส รถราง อยู่ด้วยกันที่เดียวหมด พอดีหมดวันจวนมืดก็ได้เวลาจับรถรางกลับโรงแรม
วันที่สองมีกำหนดการรออยู่ว่าต้องไปขึ้นรถไฟไปแฟรงค์เฟิร์ตต่อตอนบ่าย เลยรีบทำเวลาช่วงเช้ากลับไปเก็บรูป Atommium โดยนั่งรถรางไปเอง ซึ่งใช้เวลางงกับป้ายบอกทางพอสมควร ใครไปให้ระวังนะครับ รถไฟใต้ดินและรถราง (บางช่วงลอดใต้ดิน แต่คันเล็กกว่ารถไฟ และบางช่วงก็วิ่งตามรางที่อยู่บนถนนร่วมกับรถยนต์ ถึงเรียกว่ารถราง) ที่นี่แต่ละสายอ้างด้วยเบอร์สาย และบนแผนที่หรือป้ายนั้นแต่ละสายก็ไม่ได้ใช้สีเดียวกันตลอดเหมือนเมืองอื่น แต่ในที่สุดผมก็หาทางไปถึงสวน Brupark ที่ตั้งของอะตอมเมี่ยม ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองจนได้ ที่นี่เคยเป็นที่จัดงาน World Fair หรืองานแสดงสินค้าโลกในปี 1958 (คล้ายๆ World Expo ในปัจจุบัน) และเจ้าอะตอมเมี่ยมนี้ก็เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมเหล็กกล้าของเบลเยี่ยม โดยสร้างเป็นรูปทรงกลม 9 ลูกเชื่อมต่อกันด้วยท่อ 20 อัน และสูงกว่า 102 เมตร โดยจะแสดงถึงโครงสร้างผลึก (crystal) ของเหล็กกล้าที่ขยายขึ้นมา 165 พันล้านเท่านั่นเอง (ไม่ใช่โครงสร้างอะตอมหรือโมเลกุลอย่างชื่อของมันสักหน่อย) อาคารนี้ตอนแรกจะถูกรื้อทิ้งตอนจบงาน แต่ในที่สุดก็ได้รับการรักษาไว้และกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของบรัสเซลส์ แบบเดียวกับหอไอเฟลของกรุงปารีสที่สร้างขึ้นสำหรับ World Fair เมื่อร้อยกว่าปีก่อน และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่มาถึงปัจจุบันนั่นเอง ภายในอาคารแบ่งเป็นหลายห้อง (แต่ละลูกกลมๆมีประมาณสามชั้น) แต่ละห้องเป็นที่จัดแสดงเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่การออกแบบ เฟอร์นิเจอร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ และมีที่ชมวิวจากมุมสูง อะตอมเมี่ยมนี้เพิ่งจะได้รับการบูรณะและปรับปรุงใหม่ (รวมทั้งเพิ่มขาตั้งรอบๆเข้าไปอีกเพื่อให้ทนแรงลมได้ดีขึ้น จากเดิมที่ทั้งอาคารตั้งอยู่บนทรงกลมลูกล่างสุดเพียงอย่างเดียว) โดยเพิ่งเปิดให้สาธารณชนเข้าชมอีกครั้งในปี 2006 นี้เอง (แต่ถึงกระนั้นสามลูกบนสุดที่ไม่มีท่อค้ำไว้ก็ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม ด้วยเกรงจะไม่ปลอดภัยพอ)
ละอองฝนยังโปรยปรายมาบางๆ ในขณะที่ผมรีบกลับโรงแรมเพื่อลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟต่อไปเยอรมัน เวลาเพียงไม่ถึง 48 ชั่วโมงในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ยังไม่พอให้เก็บเกี่ยวความทรงจำเกี่ยวกับเบลเยี่ยมได้มากนัก แต่ก็บอกตัวเองว่าคงมีโอกาสได้กลับมาเยือนบรัสเซลส์อีกสักครั้ง แต่จะมากับใครและเมื่อไหร่ ยังไงนั้นคงเป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ สำหรับคราวนี้ ลาก่อน บรัสเซลส์ Au Revoir!

(รูปจัดตามความเหมาะสม ให้คำอธิบายกับรูปตรงกันอย่าสลับ)

พระราชวังของกษัตริย์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อยู่ใจกลางเมือง
รัฐสภา EU

กลางเมืองบรัสเซลส์
สวนสาธารณะ Parc du Cinquantenaire

รูปปั้นกษัตริย์ Leopold ที่ 1 (ด้านหน้าอาคาร) ที่พระราชวังแห่ง Laeken
ถนนคนเดินและย่านร้านอาหารใกล้ๆ Grand Place

จัตุรัส Grand Place กลางย่านเมืองเก่า
Hotel de Ville (Town Hall) ศาลากลางของเมืองบรัสเซลส์ อยู่ตรงหน้า Grand Place

โอ้ว! ว้าว! Chocolate Fountain
ร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์ Tintin

รูปปั้นเด็กยืนฉี่ Manneken Pis อายุเกือบสี่ร้อยปี
อาคารสำนักงานไฮเทคในย่านเหนือของบรัสเซลส์ รอบๆสถานี Gare du Nord (North Station หรือ CCN)

อะตอมเมี่ยม ที่ Brupark แลนด์มาร์คของบรัสเซลส์ อายุกว่า 50 ปี
ทัศนียภาพจากทรงกลมระดับกลางๆ (สูงสุดเท่าที่เปิดให้คนทั่วไปขึ้นได้)

แต่ละทรงกลมมีประมาณ 3 ชั้น
ภายในทางเชื่อมระหว่างทรงกลม